การติดเชื้อไวรัสเดงกี (DENV) ได้กลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก โดยปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง. การติดเชื้อนี้อาจมีอาการได้หลากหลายตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงไข้เลือดออก (DHF) และภาวะช็อก (DSS) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต. ความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกมักเกิดจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่มากเกินไป ซึ่งนำไปสู่ “พายุไซโตไคน์” ที่ก่อให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย โดยเฉพาะในตับ. ดังนั้น การรักษาที่มีประสิทธิภาพจึงไม่เพียงแต่ต้องยับยั้งไวรัสเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถควบคุมการอักเสบที่รุนแรงนี้ได้อีกด้วย. สมุนไพร Clinacanthus nutans หรือ “พญายอ” ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย ได้รับความสนใจอย่างสูงในฐานะแหล่งของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีศักยภาพ.
งานวิจัยล่าสุดที่ร่วมเขียนโดย รองศาสตราจารย์ ดร. เกียรติทวี ชูวงศ์โกมล ได้เจาะลึกถึงคุณสมบัติต้านไวรัสและต้านการอักเสบของ Clinacanthus nutans. การศึกษานี้ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Antibiotics ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของสารสกัดจากพญายอในการยับยั้งการติดเชื้อไวรัสเดงกีในเซลล์ตับของมนุษย์. ผลการวิจัยได้เผยให้เห็นกลไกการออกฤทธิ์แบบสองทางที่น่าสนใจ กล่าวคือ ไม่เพียงแต่ขัดขวางไวรัสโดยตรง แต่ยังช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากไวรัสได้อย่างมีนัยสำคัญ. การค้นพบนี้เป็นการเปิดพรมแดนใหม่สำหรับ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยาจากธรรมชาติที่สามารถต่อสู้กับไข้เลือดออกได้อย่างครอบคลุม.
การประเมินความเสี่ยงและผลกระทบของไวรัสเดงกีต่อการทำงานของตับ
ไวรัสเดงกี (DENV) เป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขทั่วโลก โดยประมาณ 70% ของผู้ป่วยทั่วโลกอยู่ในทวีปเอเชีย. ไวรัสนี้มีสี่ซีโรไทป์ (DENV-1, -2, -3, -4) ซึ่งแพร่กระจายโดยยุงลาย. แม้ว่าปัจจุบันจะมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ครบทุกซีโรไทป์และยังไม่ได้รับการอนุมัติใช้งานในวงกว้าง ทำให้การค้นหาสารต้านไวรัสเดงกียังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
หนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของไวรัสเดงกีคือเซลล์ตับ (Hepatocytes). การอักเสบของเนื้อเยื่อตับมักพบในผู้ป่วยอาการรุนแรงและมีความสัมพันธ์กับการสะสมของไซโตไคน์ที่ส่งเสริมและต้านการอักเสบ. การติดเชื้อในเซลล์ตับจะกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดและเพิ่มการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น IL-6, IL-8 และ RANTES. การตอบสนองที่ควบคุมไม่ได้นี้สามารถนำไปสู่ภาวะ “พายุไซโตไคน์” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของพยาธิสภาพของโรคไข้เลือดออก. ดังนั้น การรักษาที่มีแนวโน้มดีที่สุดไม่เพียงแต่ต้องควบคุมการจำลองตัวเองของไวรัส แต่ยังต้องลดอาการรุนแรง เช่น การผลิตไซโตไคน์จำนวนมากและการอักเสบของตับ.
Clinacanthus nutans ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในด้านคุณสมบัติต้านไวรัสและต้านการอักเสบในการแพทย์แผนโบราณ จึงกลายเป็นจุดสนใจสำหรับการวิจัยในบทความนี้
การศึกษาฤทธิ์ต้านไวรัสของสารสกัดจาก
เพื่อประเมินศักยภาพของสารสกัดพญายอในการต่อสู้กับไวรัสเดงกี ทีมวิจัยได้ทำการทดลองอย่างเป็นระบบในเซลล์มะเร็งตับ Huh7. ก่อนอื่น พวกเขาได้ประเมินความเป็นพิษของสารสกัดและพบว่ามีความปลอดภัยสูง โดยมีค่า CC50 (ความเข้มข้นที่ทำให้เซลล์ตาย 50%) สูงถึง 632.4 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร. จากนั้นจึงได้ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านไวรัสโดยใช้สารสกัดในความเข้มข้นที่ไม่เป็นพิษ (31.25 ถึง 250 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) ใน3 ช่วงเวลาที่แตกต่างกันของการติดเชื้อ:
- ก่อนการติดเชื้อ (Before-infection): ให้สารสกัดแก่เซลล์ก่อนที่จะใส่ไวรัสเข้าไป.
- ระหว่างการติดเชื้อ (Co-infection): ให้สารสกัดและไวรัสแก่เซลล์พร้อมกัน.
- หลังการติดเชื้อ (Post-infection): ให้สารสกัดแก่เซลล์หลังจากที่ติดเชื้อไวรัสแล้ว.
ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัด Clinacanthus nutans สามารถยับยั้งการติดเชื้อเดงกีได้ทั้ง 3 สภาวะในลักษณะที่ขึ้นอยู่กับความเข้มข้ม แต่สารสกัดที่น่าสนใจที่สุดคือ การให้สารสกัดใน ระหว่างการติดเชื้อ (co-infection) มีประสิทธิภาพสูงสุดในการยับยั้งไวรัส. ที่ความเข้มข้น 125 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดสามารถป้องกันเซลล์ Huh7 จากการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์. แม้ในความเข้มข้นที่ต่ำที่สุด (31.25 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) สารสกัดก็ยังสามารถลดปริมาณแอนติเจนของไวรัสลงเหลือเพียง 22.87%. ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสารสกัดพญายอมีประสิทธิภาพสูงสุดในการยับยั้งไวรัสเดงกีในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ.
กลไกการออกฤทธิ์ต้านไวรัสของ Clinacanthus nutans ในระยะเริ่มต้น
จากการที่สารสกัด Clinacanthus nutans มีประสิทธิภาพสูงสุดในระหว่างการติดเชื้อ นักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่ามันอาจส่งผลกระทบต่อขั้นตอนแรกๆ ของการติดเชื้อ. เพื่อพิสูจน์สิ่งนี้ พวกเขาได้ทำการทดลองเพื่อดูว่าสารสกัดส่งผลต่อความสามารถของไวรัสในการจับกับเซลล์เจ้าบ้านและการจำลอง RNA ของไวรัสหรือไม่.
ผลการทดลองยืนยันว่าการบ่มเพาะไวรัสร่วมกับสารสกัดก่อนที่จะนำไปติดเชื้อเซลล์ สามารถลดความสามารถในการจับของไวรัสกับเซลล์เจ้าบ้านได้อย่างมีนัยสำคัญในลักษณะที่ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น. ที่ความเข้มข้น 250 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดสามารถลดการจับของไวรัสลงเหลือเพียง 0.42 เท่า. สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดอาจมีผลโดยตรงต่ออนุภาคไวรัส ทำให้ความสามารถในการติดเชื้อลดลง.
นอกจากนี้ การทดลองยังแสดงให้เห็นว่าสารสกัดมีผลในระยะหลังการเข้าสู่เซลล์ด้วย. เมื่อให้สารสกัดแก่เซลล์ทันทีหลังจากที่ไวรัสเข้าสู่เซลล์แล้ว (0 ชั่วโมง) จะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งสูงสุด โดยลดการติดเชื้อเหลือเพียง 18.69%. แต่เมื่อให้สารสกัดช้าลง (ที่ 2 และ 4 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ) ประสิทธิภาพจะลดลง. ผลลัพธ์นี้ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดอาจเข้าไปยับยั้งกระบวนการแรกๆ ที่เกิดขึ้นหลังไวรัสเข้าสู่เซลล์ เช่น การแปลรหัสโปรตีนหรือการสังเคราะห์ RNA ของไวรัส. โดยสรุป สารสกัดพญายอออกฤทธิ์ต้านไวรัสเดงกีผ่านกลไกที่หลากหลาย ทั้งขัดขวางการจับของไวรัสกับเซลล์และยับยั้งกระบวนการจำลองตัวเองของไวรัสในระยะเริ่มต้น.
ฤทธิ์ต้านการอักเสบผ่านการลดการหลั่งไซโตไคน์
นอกเหนือจากฤทธิ์ต้านไวรัสโดยตรงแล้ว คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของสารสกัด Clinacanthus nutans คือความสามารถในการควบคุมการตอบสนองทางการอักเสบที่รุนแรงซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไข้เลือดออกที่รุนแรง. การติดเชื้อเดงกีในเซลล์ตับ Huh7 กระตุ้นให้เกิดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเพิ่มขึ้นอย่างมาก. ตัวอย่างเช่น ที่ 48 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ การแสดงออกของยีน CXCL10 และ TNF-α เพิ่มขึ้นถึง 47.14 เท่า และ 26.43 เท่า ตามลำดับ.
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การบำบัดด้วยสารสกัดพญายอสามารถยับยั้งการอักเสบนี้ได้อย่างน่าทึ่ง. ที่ความเข้มข้น 62.5 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดสามารถลดการแสดงออกของยีน CXCL10, TNF-α, IL-8 และ IL-6 ลงเหลือเพียง 8.77, 3.78, 1.59 และ 1.11 เท่า ตามลำดับ. นอกจากนี้ สารสกัดยังสามารถลดการแสดงออกของเอนไซม์ COX-2 ซึ่งเป็นตัวกลางสำคัญในเส้นทางการอักเสบได้อีกด้วย.
เพื่อทำความเข้าใจกลไกเบื้องหลังฤทธิ์ต้านการอักเสบนี้ นักวิจัยได้ตรวจสอบผลของสารสกัดต่อเส้นทางการส่งสัญญาณ NF-κB.
NF-κB เป็นปัจจัยการถอดรหัสหลักที่ควบคุมยีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบจำนวนมาก. การติดเชื้อเดงกีกระตุ้นการทำงานของ NF-κB ซึ่งเห็นได้จากการเคลื่อนย้ายของมันเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์. ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัดพญายอสามารถยับยั้งการเคลื่อนย้ายของ NF-κB เข้าสู่นิวเคลียสได้อย่างชัดเจน และยังลดระดับโปรตีน NF-κB p65 และรูปแบบที่ถูกฟอสโฟรีเลชั่น (รูปแบบที่ทำงาน) ลงอีกด้วย. การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดพญายอมีกลไกสำคัญมาจากการยับยั้งเส้นทางการส่งสัญญาณ NF-κB.
กรดแกลลิก สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญ
เพื่อระบุสารประกอบที่อาจรับผิดชอบต่อฤทธิ์ทางชีวภาพเหล่านี้ ทีมวิจัยได้ทำการวิเคราะห์โปรไฟล์ทางเคมีของสารสกัดพญายอ. การวิเคราะห์ด้วยเทคนิค HPLC ยืนยันว่า กรดแกลลิก (Gallic acid) เป็นหนึ่งในสารประกอบหลักที่พบในสารสกัด.
กรดแกลลิกเป็นที่ทราบกันดีว่ามีคุณสมบัติต้านไวรัสเดงกีในงานวิจัยอื่นๆ.
การทดลองเพิ่มเติมยืนยันว่า กรดแกลลิกบริสุทธิ์สามารถยับยั้งการติดเชื้อเดงกีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังและระหว่างการติดเชื้อ. การจำลองการจับกันของโมเลกุลยังแสดงให้เห็นว่า กรดแกลลิกสามารถจับกับโปรตีนที่สำคัญของไวรัสได้ เช่น โปรตีนเปลือกหุ้ม (envelope proteins) และโปรตีเอส NS3. สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า กรดแกลลิกอาจเป็นหนึ่งในสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญในสารสกัดพญายอที่รับผิดชอบต่อคุณสมบัติต้านไวรัส. อย่างไรก็ตาม นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการใช้สารสกัดทั้งมวลอาจมีประโยชน์มากกว่าการใช้สารประกอบเดี่ยว เนื่องจากผลเสริมฤทธิ์กันของสารประกอบต่างๆ ในสารสกัด.
ร่วมมือกับ VISBIO เพื่อบุกเบิกนวัตกรรมต้านไวรัสจากธรรมชาติ
งานวิจัยนี้เป็น ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ถึง ศักยภาพเชิงกลยุทธ์ ของสมุนไพรไทย ในฐานะแหล่งของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพยุคใหม่ สารสกัด (พญายอ) ได้แสดงกลไกการออกฤทธิ์แบบที่น่าสนใจ คือ ฤทธิ์ต้านไวรัส (มีแนวโน้มสำหรับการรักษาไข้เลือดออก) และ ลดการอักเสบ (เพื่อสนับสนุนภูมิคุ้มกัน)
สำหรับบริษัทในภาคส่วนเภสัชกรรม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสุขภาพผู้บริโภค การตรวจสอบความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์นี้คือ ประตูตรงสู่นวัตกรรม และ ความเป็นผู้นำตลาด ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพยุคใหม่ VISBIO เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนการค้นพบทางวิชาการที่ก้าวล้ำให้เป็น ผลิตภัณฑ์พร้อมสู่ตลาด ได้จริง
เราขอเชิญชวนบริษัทชั้นนำมาร่วมมือกับเรา เพื่อสำรวจโอกาสทางการค้าอันกว้างใหญ่ที่เทคโนโลยีนี้มอบให้ ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรี และเรียนรู้ว่าคุณจะสามารถควบคุมงานวิจัยที่ล้ำสมัยนี้เพื่อความสำเร็จทางธุรกิจได้อย่างไร

About the Author:
รศ.ดร.เกียรติทวี ชูวงศ์โกมล เป็นนักวิจัยชั้นนำผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นคว้ายาจากธรรมชาติ ท่านมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น โครงสร้างโปรตีน การยับยั้งเอนไซม์ และสารต้านการอักเสบจากธรรมชาติ ผลงานวิจัยของท่านได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนายาใหม่ๆ จากพืชสมุนไพร เพื่อสุขภาพของมนุษย์
