การประเมินประสิทธิภาพ Anti-DNA Damage ด้วยการทดสอบระดับ Ex-Vivo โดยใช้ 8-OHdG

ประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์และผลิตภัณฑ์ในการปกป้องผิวหนังจากปัจจัยคุกคามต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายต่อ DNA จำเป็นต้องอาศัยแบบจำลองการทดสอบที่มีความน่าเชื่อถือและใกล้เคียงกับสภาวะจริงของผิวหนังมนุษย์มากที่สุด การทดสอบบนชิ้นผิวหนังมนุษย์แบบ ex-vivo (ex-vivo human skin explants) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์ผิวหนังและเครื่องสำอาง การศึกษา ex-vivo ที่วัดระดับ 8-OHdG มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการกล่าวอ้างคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น “การป้องกันดีเอ็นเอ” (DNA Protection) “การป้องกันมลภาวะ” (Anti-Pollution) “เกราะป้องกันอนุมูลอิสระ” (Antioxidant Shield) “การป้องกันแสงแดด” (Photo-Protective) และ “การต่อต้านริ้วรอย” (Anti-Aging)

บทบาทสำคัญในการบ่งชี้ความเครียดจากออกซิเดชัน

ระดับ 8-OHdG ที่เพิ่มสูงขึ้นในดีเอ็นเอ ของเหลวในร่างกาย หรือเนื้อเยื่อ เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงสภาวะความเครียดจากออกซิเดชันที่เพิ่มขึ้นและความเสียหายต่อดีเอ็นเอที่ตามมา ด้วยเหตุนี้ 8-OHdG จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายเป็นตัวชี้วัดทางชีวภาพในการประเมินความเสี่ยงและความก้าวหน้าของภาวะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเครียดจากออกซิเดชัน เช่น โรคมะเร็ง โรคความเสื่อมของระบบประสาท และภาวะอักเสบ

ผิวหนังภายใต้การคุกคาม: ความเข้าใจเรื่องความเสียหายต่อดีเอ็นเอและแนวทางการป้องกัน

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันด่านแรกจากสิ่งแวดล้อมภายนอก อย่างไรก็ตาม ผิวหนังต้องเผชิญกับปัจจัยคุกคามมากมายที่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอ (DNA damage) ซึ่งเป็นโมเลกุลสำคัญที่ควบคุมการทำงานของเซลล์

แหล่งที่มาต่อกลไกของความเสียหายต่อดีเอ็นเอในผิวหนัง

ความเสียหายต่อดีเอ็นเอในผิวหนังสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากสิ่งแวดล้อมและกระบวนการภายในเซลล์:

  • รังสียูวี (Ultraviolet Radiation – UVR): เป็นปัจจัยหลักทางสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอ 
    • รังสียูวีบี (UVB): ช่วงความยาวคลื่น 280-315 นาโนเมตร (หรือ 280-320 นาโนเมตร ตามบางนิยาม) สามารถถูกดูดซับโดยตรงจากดีเอ็นเอ ทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ
    • รังสียูวีเอ (UVA): ช่วงความยาวคลื่น 315-400 นาโนเมตร (หรือ 320-400 นาโนเมตร ตามบางนิยาม) สามารถทะลุผ่านผิวหนังได้ลึกกว่า UVB และก่อให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอโดยอ้อมเป็นหลัก ผ่านการกระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระ (Reactive Oxygen Species – ROS)
  • มลภาวะจากสิ่งแวดล้อม (Environmental Pollutants): สารมลพิษต่างๆ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particulate Matter – PM) และสารกลุ่ม Polycyclic Aromatic Hydrocarbons สามารถกระตุ้นให้เกิดความเครียดจากออกซิเดชัน (oxidative stress) และการอักเสบในผิวหนัง ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายต่อดีเอ็นเอ และยังกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Matrix Metalloproteinases โดยเฉพาะ MMP-1 ที่ย่อยสลายคอลลาเจน ทำให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย
  • สารอนุมูลอิสระ (Reactive Oxygen Species – ROS): เป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรและมีปฏิกิริยาไวสูง สามารถสร้างขึ้นจากรังสียูวี มลภาวะ และกระบวนการเมแทบอลิซึมภายในเซลล์เอง ROS สามารถทำลายโมเลกุลขนาดใหญ่ทุกชนิดในเซลล์ รวมถึงดีเอ็นเอ โปรตีน และไขมัน การทำลายดีเอ็นเอโดย ROS มักส่งผลให้เกิดเบสที่ถูกออกซิไดซ์ เช่น 8-OHdG ความเสียหายต่อดีเอ็นเอและการสูญเสียการทำงานของเซลล์ที่ตามมา ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความเครียดจากออกซิเดชัน
  • การตอบสนองของเซลล์ต่อความเสียหายของดีเอ็นเอ (DNA Damage Response – DDR): เมื่อดีเอ็นเอได้รับความเสียหาย เซลล์จะกระตุ้นกลไกการตอบสนองที่ซับซ้อนเรียกว่า DNA Damage Response (DDR) เพื่อตรวจจับ ส่งสัญญาณ และซ่อมแซมรอยโรคบนดีเอ็นเอ หากความเสียหายมีมากเกินไปหรือกลไกการซ่อมแซมบกพร่อง อาจนำไปสู่การกลายพันธุ์ การแก่ชราของเซลล์ (cellular senescence) การตายของเซลล์ การอักเสบ และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน

Anti-DNA Damage ของการทดสอบประสิทธิภาพ

“การป้องกันดีเอ็นเอ” (DNA Protection) ในบริบทของการทดสอบประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถของสารทดสอบ (เช่น สารสำคัญหรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ยา) ในการป้องกันหรือลดระดับความเสียหายต่อดีเอ็นเอที่เกิดจากปัจจัยคุกคามต่างๆ เช่น รังสียูวีหรือมลภาวะ กลไกการป้องกันนี้สามารถเกิดขึ้นได้หลายทาง:

  • การกรองหรือปิดกั้นรังสียูวี: ป้องกันไม่ให้รังสียูวีเข้าถึงดีเอ็นเอในเซลล์โดยตรง
  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ: ดักจับหรือทำลายสารอนุมูลอิสระ (ROS) ก่อนที่พวกมันจะทำลายดีเอ็นเอ
  • การเสริมสร้างระบบต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์: เพิ่มความสามารถในการป้องกันตนเองตามธรรมชาติของผิวหนัง
  • การสนับสนุนกลไกการซ่อมแซมดีเอ็นเอ: ช่วยให้เซลล์สามารถซ่อมแซมรอยโรคที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ฤทธิ์ต้านการอักเสบ: ลดการอักเสบที่อาจทำให้ความเสียหายต่อดีเอ็นเอรุนแรงขึ้น

Anti-DNA Damage คือผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้ (เช่น ระดับ 8-OHdG ที่ลดลง) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสารทดสอบในการต่อต้านความเสียหายต่อดีเอ็นเอ (โดยเฉพาะความเสียหายจากออกซิเดชัน) แม้ว่าปัจจัย เช่น UVB, UVA, มลภาวะ อาจมีกลไกหลักในการทำลายดีเอ็นเอที่แตกต่างกัน แต่ก็มีการทำงานร่วมกันเช่น ทั้งรังสียูวี และมลภาวะ สามารถกระตุ้นการสร้าง ROS ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายจากออกซิเดชันต่อดีเอ็นเอ (เช่น การก่อตัวของ 8-OHdG) การป้องกันดีเอ็นเอที่แท้จริงในระบบชีวภาพไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการป้องกันรอยโรคเริ่มต้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถของเซลล์ในการจัดการและซ่อมแซมความเสียหายด้วย

8-OHdG: Biomarker สำหรับความเสียหายต่อ DNA จากออกซิเดชัน

ตัวชี้วัดทางชีวภาพ (Biomarkers) ที่ใช้ในการประเมินความเสียหายต่อ DNA, 8-ไฮดรอกซี-2′-ดีออกซีกัวโนซีน (8-hydroxy-2′-deoxyguanosine) หรือที่เรียกโดยย่อว่า 8-OHdG ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น ตัวบ่งชี้หลัก (key indicator) ของความเสียหายต่อ DNA ที่เกิดจากกระบวนการออกซิเดชัน (oxidative DNA damage) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพของผิวหนังและโรคต่างๆ

8-OHdG เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เรียกว่า ออกซิเดชัน (oxidation) ของ deoxyguanosine ซึ่งเป็น nucleoside ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของ DNA การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อ เบสกัวนีน (guanine base) ใน DNA ถูกโจมตีโดย อนุมูลอิสระ (free radicals) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไฮดรอกซิลเรดิคัล (hydroxyl radical, OH) 8-OHdG ถือเป็นหนึ่งใน รอยโรคออกซิเดชัน (oxidative lesions) ที่เกิดจากอนุมูลอิสระและพบได้มากที่สุดใน DNA ทั้งใน นิวเคลียส (nucleus) และ ไมโทคอนเดรีย (mitochondria) คุณสมบัติที่สำคัญคือ 8-OHdG เป็น biomarker ที่น่าเชื่อถือสำหรับการประเมิน ภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อ DNA

ในบริบทของผิวหนัง การก่อตัวของ 8-OHdG มีความสัมพันธ์กับการสัมผัสรังสียูวี (โดยเฉพาะ UVA ผ่านกลไกการสร้าง ROS) และมลภาวะ มีรายงานว่าความถี่ของการพบ 8-OHdG ในผิวหนังมนุษย์เพิ่มขึ้นตามปริมาณการสัมผัสแสงแดดสะสม การศึกษาพบว่าแสงยูวีสามารถเพิ่มการก่อตัวของ 8-OHdG ในดีเอ็นเอได้อย่างมีนัยสำคัญ สิ่งนี้ตอกย้ำว่า 8-OHdG เป็น “ตัวชี้วัดทางชีวภาพที่สำคัญของความเครียดจากออกซิเดชันและการก่อมะเร็ง”

การประเมินประสิทธิภาพ Anti-DNA Damage ตัวอย่างที่เหมาะสมสำหรับการทดสอบ

ดีเอ็นเอในเซลล์ผิวหนังสามารถถูกทำลายได้จากปัจจัยภายนอกหลายอย่าง โดยเฉพาะรังสียูวีจากแสงแดดและมลภาวะ ความเสียหายต่อดีเอ็นเออาจนำไปสู่ความเสื่อมของผิว ริ้วรอย และเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนัง การประเมินประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในการป้องกันหรือซ่อมแซมความเสียหายของดีเอ็นเอจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

8-OHdG (8-hydroxy-2′-deoxyguanosine) เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่นิยมใช้ในการวัดความเสียหายของดีเอ็นเอที่เกิดจากอนุมูลอิสระ (Oxidative DNA Damage) เมื่อดีเอ็นเอถูกทำลาย เซลล์จะพยายามซ่อมแซม และ 8-OHdG ที่ถูกตัดออกมาจะสามารถตรวจวัดได้ การวัดระดับ 8-OHdG ในแบบจำลองผิวหนังมนุษย์ Ex-Vivo ที่ได้รับสิ่งกระตุ้นให้เกิดความเสียหาย (เช่น รังสียูวี) ช่วยให้ประเมินความสามารถของสารที่นำมาทดสอบในการลดหรือป้องกันความเสียหายนี้ได้ในเนื้อเยื่อที่ใกล้เคียงกับผิวหนังมนุษย์จริง

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ สารออกฤทธิ์ และยา (สำหรับใช้ภายนอก) ที่เหมาะสมกับการทดสอบนี้:

1.ผลิตภัณฑ์ (Products):

    • ผลิตภัณฑ์กันแดด (Sunscreen): แม้การกันแดดจะเป็นการป้องกันหลัก แต่การทดสอบนี้สามารถประเมินประสิทธิภาพของส่วนผสมเพิ่มเติมที่มีคุณสมบัติป้องกัน/ซ่อมแซมดีเอ็นเอโดยตรงได้
    • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: เซรั่มหรือครีมที่มีวิตามินซี วิตามินอี หรือสารสกัดจากพืชที่ทราบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง

2.สารออกฤทธิ์ (Active Ingredients):

    • สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants): เช่น อนุพันธ์ของวิตามินซีและอี, เฟอรูลิก แอซิด, สารสกัดโพลีฟีนอลจากพืชเขตร้อน (เช่น มังคุด ทับทิม) ซึ่งช่วยปกป้องดีเอ็นเอจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
    • เอนไซม์ซ่อมแซมดีเอ็นเอ (DNA Repair Enzymes): บางชนิดสามารถนำมาใช้ภายนอกเพื่อช่วยเสริมกระบวนการซ่อมแซมดีเอ็นเอตามธรรมชาติของผิวได้ เช่น Photolyase, Endonuclease
    • สารสกัดจากพืชทะเล/สาหร่าย: บางชนิดมีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์จากรังสียูวีและลดความเสียหายของดีเอ็นเอ

3.ยาใช้ภายนอก (Topical Medicine)

Literature:

  • Pfeifer, G. P. (2020). Mechanisms of UV-induced mutations and skin cancer. Genome Instability & Disease, 1(3), 99-113.
  • Mireles-Canales, M. P., González-Chávez, S. A., Quiñonez-Flores, C. M., León-López, E. A., & Pacheco-Tena, C. (2018). DNA Damage and Deficiencies in the Mechanisms of Its Repair: Implications in the Pathogenesis of Systemic Lupus Erythematosus. Journal of Immunology Research, 2018, 8214379.
  • Namchantra, K., Wongwanakul, R., & Klinngam, W. (2025). Effects of Culture Medium-Based and Topical Anti-Pollution Treatments on PM-Induced Skin Damage Using a Human Ex Vivo Model. Cosmetics, 12(2), 64.
  • Valavanidis, A., Vlachogianni, T., & Fiotakis, C. (2009). 8-hydroxy-2′-deoxyguanosine (8-OHdG): A critical biomarker of oxidative stress and carcinogenesis. Journal of Environmental Science and Health, Part C, 27(2), 120-139.
  • Goriuc, A., Cojocaru, K.-A., Luchian, I., Ursu, R.-G., Butnaru, O., & Foia, L. (2024). Using 8-Hydroxy-2′-Deoxiguanosine (8-OHdG) as a Reliable Biomarker for Assessing Periodontal Disease Associated with Diabetes. International Journal of Molecular Sciences, 25(3), 1425.