ข้อมูลบริการประเมินประสิทธิภาพทางคลินิกสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้านสุขภาพข้อเข่า

บริษัท วิสไบโอ (VISBIO) จำกัด ให้บริการรับประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยเชิงคลินิกของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีองค์ประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive compounds) ซึ่งมุ่งเป้าในการดูแลภาวะข้อเข่า โดยเฉพาะภาวะข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis)

สภาวะตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีการแข่งขันสูง ความไว้วางใจของผู้บริโภคและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ การทดสอบทางคลินิก (Clinical Trial Knee) ซึ่งเป็นกระบวนการวิจัยในมนุษย์อย่างเป็นระบบ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายถึงความจำเป็นและประโยชน์เชิงกลยุทธ์ของการทดสอบทางคลินิกสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยจะเน้นย้ำถึงประโยชน์ในการสร้างความน่าเชื่อถือของคำกล่าวอ้างทางการตลาด (Marketing Claims) การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และการขยายโอกาสสู่ตลาดสากล นอกจากนี้ บทความยังจะอภิปรายถึงกรอบมาตรฐานและจริยธรรมสากลที่กำกับดูแลการวิจัยทางคลินิก อาทิ การลงทะเบียนการทดลองทางคลินิกตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) และปฏิญญาเฮลซิงกิ (Declaration of Helsinki) เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการสามารถนำผลิตภัณฑ์ของตนเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ก้าวข้ามคำโฆษณา: สร้างมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary Supplements) ทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากกระแสการใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคท่ามกลางผลิตภัณฑ์จำนวนมากในตลาด ในอดีต การตลาดของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักอาศัยการอ้างอิงถึงสรรพคุณของส่วนผสมตามองค์ความรู้ดั้งเดิมหรือการศึกษาในระดับห้องปฏิบัติการ แต่ในปัจจุบัน ผู้บริโภคมีความรู้มากขึ้นและต้องการหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจซื้อ

การทดสอบทางคลินิกจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสรรพคุณตามความเชื่อกับประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ การวิจัยทางคลินิกคือกระบวนการศึกษาไปข้างหน้าที่ดำเนินการในอาสาสมัครมนุษย์ เพื่อประเมินผลกระทบของสิ่งแทรกแซง (Intervention) ซึ่งในที่นี้คือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพ (Health Outcomes) กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ประโยชน์เชิงกลยุทธ์ของการทดสอบทางคลินิกต่อธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

การลงทุนในการทดสอบทางคลินิกให้ประโยชน์ที่สำคัญต่อธุรกิจในหลายมิติ ตั้งแต่การตลาดไปจนถึงการขยายธุรกิจในระยะยาว

  • การสนับสนุนคำกล่าวอ้างทางการตลาดด้วยหลักฐานที่น่าเชื่อถือ (Substantiation of Marketing Claims) หน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพในหลายประเทศ เช่น องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) และองค์กรความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเกี่ยวกับการกล่าวอ้างสรรพคุณทางสุขภาพ (Health Claims) การกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์สามารถ “ช่วยเสริมสร้าง” “บำรุง” หรือ “ลดความเสี่ยง” ของภาวะต่างๆ จำเป็นต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์คุณภาพสูงมารองรับ ซึ่งการทดสอบทางคลินิกที่ออกแบบมาอย่างดีถือเป็นหลักฐานระดับสูงสุด (Gold Standard) การมีข้อมูลจากการทดสอบทางคลินิกช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามกฎหมาย
  • การสร้างความไว้วางใจและความภักดีต่อแบรนด์ (Building Consumer Trust and Brand Loyalty) ความโปร่งใสเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ การที่แบรนด์ลงทุนในกระบวนการวิจัยที่ซับซ้อนและมีราคาแพงเพื่อพิสูจน์ผลิตภัณฑ์ของตน เป็นการส่งสารที่ทรงพลังไปยังผู้บริโภคว่าบริษัทมีความรับผิดชอบและมุ่งมั่นในคุณภาพอย่างแท้จริง ดังที่หลักการของการลงทะเบียนการทดลองทางคลินิกระบุไว้ว่า การเปิดเผยข้อมูลการวิจัยสู่สาธารณะจะช่วยให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ สิ่งนี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้บริโภคและนำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
  • การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) ในตลาดที่มีผลิตภัณฑ์คล้ายคลึงกันจำนวนมาก การมี “ผลการทดสอบทางคลินิก” เป็นจุดขายที่สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ผลิตภัณฑ์ที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับมักจะถูกมองว่ามีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูงกว่า ทำให้สามารถวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ในระดับพรีเมียมและโดดเด่นจากคู่แข่งที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุนได้
  • การเข้าถึงช่องทางจัดจำหน่ายและตลาดสากล (Access to Distribution Channels and International Markets) ช่องทางการจัดจำหน่ายบางแห่ง เช่น โรงพยาบาล คลินิก หรือร้านขายยาชั้นนำ มักจะพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่มีข้อมูลการวิจัยรองรับเป็นพิเศษ นอกจากนี้ การส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ มักต้องใช้เอกสารยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งข้อมูลจากการทดสอบทางคลินิกเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้กระบวนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศเป็นไปได้ง่ายขึ้น

กรอบมาตรฐานสากลในการดำเนินงานทดสอบทางคลินิก

การประเมินทางคลินิก เพื่อให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเข้าใจและปฏิบัติตามกรอบมาตรฐานและจริยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด

  1. การลงทะเบียนการทดลองทางคลินิก (Clinical Trial Registration) ก่อนที่จะเริ่มรับอาสาสมัครคนแรก โครงการวิจัยทางคลินิกทุกโครงการจำเป็นต้องได้รับการลงทะเบียนในฐานข้อมูลสาธารณะที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เช่น ClinicalTrials.gov การลงทะเบียนนี้เป็นไปตามข้อกำหนดในปฏิญญาเฮลซิงกิ (Declaration of Helsinki) ซึ่งเป็นมาตรฐานจริยธรรมสากลสำหรับการวิจัยในมนุษย์ และเป็นเงื่อนไขสำคัญที่วารสารการแพทย์ชั้นนำ (ICMJE) จะพิจารณาตีพิมพ์ผลงานวิจัย การลงทะเบียนมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความโปร่งใส ป้องกันการเลือกตีพิมพ์เฉพาะผลการวิจัยที่ประสบความสำเร็จ และเปิดโอกาสให้สาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่ได้
  2. การรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน (Institutional Review Board – IRB / Ethics Committee – EC) หัวใจสำคัญของการวิจัยในมนุษย์คือการคุ้มครองสิทธิ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของอาสาสมัคร ดังนั้น โครงการวิจัยจะต้องได้รับการพิจารณาและรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนซึ่งเป็นองค์กรอิสระ ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการใดๆ คณะกรรมการฯ จะประเมินทั้งระเบียบวิธีวิจัย กระบวนการขอความยินยอม และความสมดุลระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงที่อาสาสมัครจะได้รับ
  3. แนวทางการปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกที่ดี (Good Clinical Practice – GCP) GCP เป็นมาตรฐานสากลด้านคุณภาพและจริยธรรมในการออกแบบ ดำเนินการ บันทึก และรายงานผลการวิจัยทางคลินิก การปฏิบัติตามหลัก GCP ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่รวบรวมมีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และกระบวนการวิจัยเคารพต่อสิทธิของอาสาสมัครอย่างครบถ้วน

การลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

ผู้ประกอบการและโรงงานผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การตัดสินใจลงทุนในการทดสอบทางคลินิกอาจดูเป็นความท้าทายทั้งในด้านงบประมาณและเวลา อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ในระยะยาวแล้ว นี่คือการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สามารถเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์จากสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีนวัตกรรมและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ การมีข้อมูลจากการทดสอบทางคลินิกไม่เพียงแต่เป็นการสร้างเกราะป้องกันทางกฎหมายและจริยธรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังในการสร้างความไว้วางใจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในเวทีโลก การนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล จึงเป็นหนทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและมั่นคงในอุตสาหกรรมสุขภาพยุคใหม่

Literature:

  • ศ. พญ. พรรณแข มไหสวริยะ. การลงทะเบียนงานวิจัยทางคลินิก [สื่อการเรียนรู้].
  • Bellamy, N. Pain assessment in osteoarthritis: experience with the WOMAC osteoarthritis index. Seminars in Arthritis and Rheumatism. 1989 May;18(4 Suppl 2):14-7.
  • Liu, X., Machado, G. C., Eyles, J. P., Ravi, V., & Hunter, D. J. Dietary supplements for treating osteoarthritis: a systematic review and meta-analysis. British Journal of Sports Medicine. 2018; 52(3): 167-175.