ข้อมูลบริการทดสอบฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน หรือ Immune support

บริษัท วิสไบโอ (VISBIO) จำกัด มีบริการทดสอบฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน หรือ Immune support ได้กับตัวอย่างที่หลากหลายโดยการทดสอบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมยา

หลักการของการทดสอบนี้ คือ การวัดปริมาณไนไตรท์ที่เซลล์แมคโครฟาจปล่อยออกมา ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคของระบบภูมิคุ้มกัน ยิ่งสารทดสอบสามารถกระตุ้นให้แมคโครฟาจผลิตไนไตรท์ได้มากเท่าใด ก็อาจบ่งชี้ได้ว่าสารนั้นมีศักยภาพในการเสริมภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นเท่านั้น

บริการทดสอบนี้ของเรา ช่วยให้ผู้ประกอบการมั่นใจในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ของตนในการเสริมสร้างสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้อย่างตรงจุด

ฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน

ฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน คือความสามารถของสารหรือกระบวนการใดๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ได้ดีขึ้น

กลไกการเสริมภูมิคุ้มกันมีหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • กระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน: สารบางชนิดสามารถกระตุ้นการเพิ่มจำนวนและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว เช่น แมคโครฟาจ เซลล์ที และเซลล์บี ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค
  • เพิ่มการผลิตสารภูมิคุ้มกัน: สารบางชนิดสามารถกระตุ้นการผลิตแอนติบอดี ไซโตไคน์ และสารอื่นๆ ที่ช่วยในการกำจัดเชื้อโรคและควบคุมการอักเสบ
  • ปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกัน: ในบางกรณี ภูมิคุ้มกันที่ทำงานมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย สารบางชนิดจึงมีฤทธิ์ในการปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้และโรคภูมิต้านตนเอง

บทบาทของแมคโครฟาจและไนไตรท์

แมคโครฟาจ (Macrophage) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันทั้งแบบทันทีและแบบจำเพาะ ทำหน้าที่เป็น “ผู้ทำลาย” โดยตรง สามารถจับกินและทำลายเชื้อโรค แบคทีเรีย เซลล์ที่ตายแล้ว และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็น “ผู้นำเสนอแอนติเจน” โดยนำชิ้นส่วนของเชื้อโรคที่ถูกทำลายไปกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ ให้เริ่มการตอบสนองต่อเชื้อโรคอย่างจำเพาะเจาะจง

ไนไตรท์ (Nitrite) เป็นโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของแมคโครฟาจในการทำลายเชื้อโรค แมคโครฟาจสามารถเปลี่ยนไนไตรท์ให้เป็นไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide, NO) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคและเซลล์ที่ติดเชื้อ NO สามารถทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรีย ทำให้ DNA ของเชื้อโรคเสียหาย และขัดขวางกระบวนการเมตาบอลิซึมของเชื้อโรค นอกจากนี้ NO ยังมีบทบาทในการควบคุมการอักเสบและการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างแมคโครฟาจและไนไตรท์ จึงเป็นกลไกสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคของระบบภูมิคุ้มกัน การที่แมคโครฟาจ สามารถผลิต NO ได้มากหรือน้อย จึงเป็นตัวบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรคของแมคโครฟาจ และเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินศักยภาพของสารที่อาจมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

ปัจจัยที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน

ปัจจัยที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันของระบบร่างกายนั้นมีหลากหลาย ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นจากอาหารการกิน พืชสมุนไพร ยารักษาโรค หรือแม้แต่กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น

  1. อาหารและสารอาหาร: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วน เป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพแข็งแรงและระบบภูมิคุ้มกันที่ดี
  2. ยาและวัคซีน: เป็นวิธีการเสริมภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพสูง วัคซีนช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคที่เฉพาะเจาะจง ในขณะที่ยารักษาโรคบางชนิดอาจมีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันเป็นผลข้างเคียง
  3. การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ หรือว่ายน้ำ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน
  4. การนอนหลับพักผ่อน: การนอนหลับให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูและซ่อมแซมร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน การอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพออาจทำให้ร่างกายอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

องค์ประกอบในอาหารที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน

สารสำคัญหลายชนิด มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่

  • วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ภูมิคุ้มกันจากการถูกทำลาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว พบมากในผลไม้ตระกูลส้ม ผักใบเขียว และพริก เป็นต้น
  • วิตามินดี มีส่วนช่วยในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เองเมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด นอกจากนี้ยังพบในอาหารบางชนิด เช่น ปลาที่มีไขมัน ไข่แดง และนม
  • สังกะสี จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน พบมากในอาหารทะเล เนื้อสัตว์ ถั่ว และธัญพืช
  • โปรไบโอติก เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ซึ่งเมื่อรับประทานในปริมาณที่เพียงพอจะทำให้สุขภาพดีขึ้น เชื่อว่าช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบในโยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ และอาหารหมักดองบางชนิด
  • สารสกัดจากพืชบางชนิด เช่น สารสกัดจากกระเทียม ขิง และโสม ซึ่งมีงานวิจัยบางชิ้นบ่งชี้ว่าอาจมีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน

ตัวชี้วัดศักยภาพสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

การศึกษาฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันของสารต่างๆ มักใช้แมคโครฟาจ เป็นเซลล์โมเดลในการทดลอง เนื่องจากเป็นเซลล์ที่มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน และมีความสามารถในการผลิตไนไตรท์ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของไนตริกออกไซด์ (NO) ที่มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรค

การวัดปริมาณไนไตรท์ที่แมคโครฟาจหลั่งออกมาจึงเป็นวิธีหนึ่งในการประเมินศักยภาพของสารทดสอบในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน หากสารทดสอบสามารถกระตุ้นให้แมคโครฟาจผลิตไนไตรท์ได้มากขึ้น ก็อาจบ่งชี้ว่าสารนั้นมีศักยภาพในการเสริมภูมิคุ้มกัน

วิธีการทดสอบฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน Immune support

ห้องปฏิบัติการเราทำการทดสอบฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน (Immune support) กับตัวอย่าง ด้วยวิธี Griess test ซึ่งเป็นวิธีการทดสอบที่นิยมใช้ในการวัดปริมาณไนไตรท์ โดยหลักการของการทดสอบ คือ ไนไตรท์จะทำปฏิกิริยากับสารเคมีเฉพาะ แล้วเปลี่ยนเป็นสารประกอบที่มีสีชมพูอมม่วง ซึ่งสามารถวัดปริมาณการเกิดปฏิกิริยาได้ด้วย เครื่องมือวัดค่าการดูดกลืนแสง (Microplate reader) ความเข้มข้นของสีชมพูอมม่วงที่เกิดขึ้นจะแปรผันตามปริมาณของไนไตรท์ในตัวอย่าง นำค่าที่ได้เทียบกับสมการของกราฟมาตรฐานของสารไนไตรท์ (Nitrite) เพื่อหาปริมาณการหลั่งไนไตรท์จากเซลล์ที่ทดสอบ ซึ่งหากตัวอย่าง มีปริมาณไนไตรท์มากเท่าใด สีที่เกิดขึ้นก็จะเข้มขึ้น และค่าการดูดกลืนแสงก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย จึงอาจบ่งชี้ได้ว่าตัวอย่างนั้นมีศักยภาพในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นเท่านั้น

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การใช้แมคโครฟาจและไนไตรท์ร่วมกับวิธี Griess Test จึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการคัดกรองและประเมินศักยภาพของสารที่อาจมีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา หรือวัคซีนต่อไปในอนาคต

Literature:

  • Carr, A. C., & Maggini, S. (2017). Vitamin C and Immune Function. Nutrients, 9(11), 1211.
  • Aranow, C. (2011). Vitamin D and the immune system. Journal of investigative medicine : the official publication of the American Federation for Clinical Research, 59(6), 881–886.
  • Mosser, D. M., & Edwards, J. P. (2008). Exploring the full spectrum of macrophage activation. Nature reviews. Immunology, 8(12), 958–969.
  • Bogdan, C. (2001). Nitric oxide and the immune response. Nature immunology, 2(10), 907–916.